ชีวประวัติท่านสะอีด บิน อัลมุสัยยับ เราะหิมะฮุลลอฮ
(ตอนที่ 4 : การรักษาเกียรติ การยึดมั่นกับสัจธรรม และการแต่งงานของลูกสาว)
แปลและเรียบเรียงโดย Zunnur
การรักษาเกียรติของตนเองและการยึดมั่นกับสัจธรรมของท่านสะอีด บิน อัลมุสัยยับ
จากอิมรอน บินอับดุลลอฮ กล่าวว่า “ท่านสะอีด บิน อัลมุสัยยับ มีรายได้เป็นเงิน 3 หมื่นสำหรับเขาที่บัยตุลมาล ท่านถูกเรียกเพื่อให้ไปรับมัน แต่ท่านปฏิเสธแล้วพูดว่า ‘ฉันไม่ต้องการมัน จนกว่าอัลลอฮจะตัดสินระหว่างตัวฉันกับตระกูลมัรวาน’” [1]
จากอลี บินซัยดฺ เล่าวว่า ท่านสะอีด บิน อัลมุสัยยับ เคยถูกถามว่า “ทำไมอัลหัจญาจญ์จึงไม่ส่งคนมาหาท่าน ไม่เคลื่อนย้ายตัวท่าน และไม่ทำร้ายท่าน?” ท่านสะอีดตอบว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮ ฉันไม่รู้ เพียงแต่เขาเคยเข้ามัสญิดพร้อมกับพ่อของเขา แล้วทำการละหมาดโดยที่การรุกูอฺและสุญูดไม่สมบูรณ์ แล้วฉันก็เอาทรายกำมือหนึ่งขว้างใส่พวกเขา” และอัลหัจญาจญ์พูดว่า “หลังจากนั้น ฉันปรับปรุงการละหมาดให้ดีอยู่เสมอ” [2]
จากอิมรอน บินฏ็อลหะฮฺ อัลคุซะนีย์ กล่าวว่า “อับดุลมะลิก บินมัรวาน ประกอบพิธีฮัจญ์ เมื่อถึงมะดีนะฮฺ เขายืนอยู่ที่หน้าประตูมัสญิดและส่งคนไปหาสะอีด บิน อัลมุสัยยับ เพื่อเรียกเขามาหา แต่ไม่สามารถทำให้เขาขยับไปไหนได้ ทูตคนนั้นมาหาสะอีดและกล่าวว่า ‘จงตอบสนองเถิด ท่านอะมีรุลมุอ์มินีนกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูต้องการสนทนากับท่าน’ สะอีดกล่าวว่า ‘อะมีรุลมุอ์มินีนไม่มีเรื่องจำเป็นใดๆต่อฉัน และฉันก็ไม่มีเรื่องเรื่องจำเป็นใดๆต่อเขาด้วย และความต้องการของเขาต่อฉันจะไม่ถูกสนองตอบ’ ฑูตคนนั้นกลับไปหาอับดุลมะลิกและรายงาน อะมีรุลมุอ์มินีนจึงกล่าวว่า ‘จงกลับไปหาเขา และบอกแก่เขาว่า ฉันเพียงต้องการคุยกับเขาเท่านั้น และอย่าบังคับให้เขามาหา’ ฑูตคนั้นจึงกลับไปหาท่านสะอีดและพูดว่า ‘จงสนองคำเรียกของท่านอะมีรุลมุอ์มินีน’ ท่านสะอีดตอบกลับไปเหมือนครั้งแรก ทูตกล่าวว่า ‘หากท่านอะมีรุลมุอ์มินีนมิได้แจ้งแก่ฉันก่อนหน้านี้เกี่ยวกับท่าน(แจ้งเรื่องห้ามบังคับ) แน่แท้ฉันจะไม่กลับไปหาท่านอะมีรุลมุอ์มินีนเว้นแต่ด้วยการพาหัวของท่านไปด้วย ท่านอะมีรุลมุอ์มินีนส่งฑูตมาหาท่านเพื่อให้ท่านสนทนาด้วย แต่ท่านกลับตอบกลับด้วยคำพูดเช่นนี้’ ท่านสะอีดตอบโต้กลับไปว่า ‘หากเขาต้องการทำดีกับฉัน ความดีนั้นก็เพื่อท่าน แต่หากเขาต้องการอื่นจากนั้น ฉันก็ไม่อนุญาตให้ตนเองเข้าไปเกี่ยวพันด้วย จนกว่าเรื่องจะถูกตัดสิน’ ฑูตคนนั้นจึงกลับไปและรายงานให้ทราบ และท่านอะมีรุลมุอ์มินีนก็กล่าวว่า ‘ขออัลลอฮทรงเมตตาอบูมุหัมมัด เขาไม่ยอมมาหาฉันไม่ใช่เหตุอื่นใดเลยนอกจากเพราะจุดยืนที่มั่นคง(ของตัวเขาเอง)’” [3]
จากอัมรฺ บินอาศิม จากสัลลาม บินมิสกีน จากอิมรอน บินอับดิลลาฮ บินฏ็อลหะฮฺ อัลคุซะนีย์ กล่าวว่า เมื่ออัลวะลีดถูกแต่งตั้งเป็นเคาะลีฟะฮฺ เขามายังมะดีนะฮฺและเข้าไปในมัสญิด เขาเห็นผู้คนมากมายห้อมล้อมชัยคฺคนหนึ่ง เขาจึงถามว่า “คนนี้เป็นใคร?” ผู้คนก็ตอบว่า “สะอีด บิน อัลมุสัยยับ” เมื่อเขานั่งลง เขาก็ส่งทูตคนหนึ่งไปหาชัยคฺคนนั้น ทูตก็ได้ไปหาและกล่าวว่า “จงสนองตอบคำเรียกของอะมีรุลมุอ์มินีน” ท่านสะอีดตอบว่า “ท่านอาจบอกชื่อฉันผิดไป หรือไม่เขาก็ส่งท่านไปหาคนอื่น” ท่านสะอีดปฏิเสธทูตคนนั้นไป ทูตคนนั้นรายงานให้อะมีรุลมุอ์มินีนทราบ เขาจึงโกรธและต้องการทำอะไรบางอย่างกับท่านสะอีด ในวันนั้นผู้คนเกิดหวาดกลัว พวกเขาเข้าไปหาอะมีรุลมุอ์มินีนพร้อมกล่าวว่า “โอ้อะมีรุลมุอ์มินีน เขาคือฟะกีฮฺ(นักนิติศาสตร์)ของเมืองมะดีนะฮฺ คือชัยคฺ(ผู้ใหญ่)ของเผ่ากุร็อยชฺ และเป็นสหายของบิดาท่าน ไม่มีกษัตริย์ท่านใดก่อนหน้าท่านที่ปรารถนาจะเข้ามาหาเขา(และได้พบปะกับเขา-ผู้แปล)” พวกเขากล่าวเช่นนั้น จนกระทั่งอัลวะลีดเดินจากไป [4]
ท่านสะอีดไม่ตอบสนองคำเรียกของพวกเขา อาจเป็นเพราะว่าท่านเห็นความอธรรมของพวกเขา แต่ท่านสะอีด บิน อัลมุสัยยับ ตอบสนองท่านอุมัร บินอับดุลอะซีซ ขณะดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการเมืองมะดีนะฮฺ
อิบนุสะอดฺ รายงานไว้ในอัฏเฏาะบะก็อต จากมาลิก บินอนัส กล่าวว่า “ท่านอุมัร บินอับดุลอะซีซจะไม่ตัดสินปัญหาใด นอกจากจะได้ถามท่านสะอีด บิน อัลมุสัยยับก่อน เขาส่งฑูตคนหนึ่งไปหาท่านสะอีดเพื่อถามท่าน ฑูตคนนั้นเรียกท่านสะอีด แล้วท่านก็มาหาท่านอุมัร เมื่อเข้าไปหา ท่านอุมัรกล่าวว่า ‘ทูตคนนั้นผิดพลาดแล้ว ฉันส่งเขาไปเพียงเพื่อถามท่านในมัจลิสของท่านเท่านั้น’” [5]
จากสัลลาม บินมิสกีนพูดว่า อิมรอน บินอับดุลลอฮ เล่าแก่ฉันว่า “ฉันเห็นท่านสะอีด บิน อัลมุสัยยับ วิญญาณของท่าน ณ ที่อัลลอฮนั้น เบาหวิวสำหรับท่านมากกว่าวิญญาณของแมลงวัน” [6]
การแต่งงานของลูกสาวท่านสะอีด บิน อัลมุสัยยับ
จากอบูบักรฺ บินอบูดาวูด กล่าวว่า “เคาะลีฟะฮฺอับดุลมะลิกได้สู่ขอลูกสาวของท่านสะอีด บิน อัลมุสัยยับ ให้แก่อัลวะลีด ลูกชายของเขา แต่ท่านสะอีดปฏิเสธ ท่านอ้างเหตุผลต่างๆต่ออับดุลมะลิก จนกระทั่งเขาสั่งเฆี่ยนท่านสะอีด 100 ครั้งในวันที่หนาวเหน็บ และราดน้ำใส่ท่าน และให้ท่านใส่เสื้อขนสัตว์”
หลังจากท่านอบูบักรฺ บินอบูดาวูด กล่าวว่า อะหฺมัด ลูกพี่ลูกน้องของฉัน กล่าวว่า อับดุรเราะหฺมาน บินวะฮบฺ กล่าวกับฉันว่า อุมัร บินวะฮบฺ เล่าให้แก่เรา จากอัฏฏ็อฟ บินคอลิฟ จากอิบนุหัรมะละฮฺ จากอิบนุ อบีวะดาอะฮฺ(คือกะษีร) กล่าวว่า “ฉันมักจะนั่งอยู่ในมัจลิสญ์ของท่านสะอีด บิน อัลมุสัยยับเสมอ แล้วฉันก็หายไป(ไม่มาในมัจลิสญ์)หลายวัน เมื่อฉันไปหาท่าน ท่านถามว่า ‘เจ้าไปอยู่ไหนมา?’ ฉันตอบว่า ‘ภรรยาของฉันเสียชีวิต ฉันจึงยุ่งกับการจัดการมัยยิดของเธอ’ ท่านกล่าวว่า ‘ทำไมเจ้าไม่บอกเรา เราจะได้ร่วมส่งมัยยิดของเธอด้วย’ แล้วท่านก็ถามต่อว่า ‘แล้วเจ้าได้แต่งงานใหม่หรือยัง?’ ฉันตอบว่า ‘ขออัลลอฮทรงเมตตาท่าน ใครกันจะยกลูกสาวของเขาแต่งงานกับฉัน ในขณะที่ฉันไม่มีอะไรเลยนอกจากเพียง 2 หรือ 3 ดิรฮัมเท่านั้น?’ ท่านตอบว่า ‘ฉันจะแต่งงานให้เจ้า’ ฉันถามว่า ‘ท่านจะทำอย่างนั้นหรือ?’ ท่านสะอีดตอบว่า ‘ใช่’ และหลังจากนั้นสรรเสริญอัลลอฮและกล่าวเศาะลาวาตแก่ท่านนบี ท่านก็แต่งงานฉัน(กับลูกสาวของท่าน)ด้วยกับมะฮัร 2 หรือ 3 ดิรฮัม ฉันยืนอยู่และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เนื่องจากความดีใจ
ฉันกลับไปที่บ้าน และเริ่มคิดว่าฉันจะยืมเงินจากใครได้บ้าง(เพื่อจัดงานวะลีมะฮฺ) ฉันละหมาดมัฆริบ และหลังจากฉันกลับมาที่บ้าน ขณะที่ฉันอยู่คนเดียวในสภาพที่ถือศีลอด แล้วฉันก็นำอาหารมื้อค่ำมาเพื่อละศีลอด มันคือขนมปังและน้ำมัน ทันใดนั้นก็มีคนมาเคาะประตูบ้านของฉัน ฉันจึงถามว่า “ใครหน่ะ?” เขาตอบว่า ‘สะอีด’ ฉันพยายามนึกถึงทุกคนที่ชื่อสะอีด ซึ่งไม่ใช่สะอีด บิน อัลมุสัยยับ เพราะฉันไม่เคยมองท่านนาน 40 ปีเว้นแต่ที่บ้านของท่านหรือมัสญิดเท่านั้น ฉันจึงออกไป ปรากฏว่าคือท่านสะอีด บิน อัลมุสัยยับ ฉันคิดว่าท่านคงจะเปลี่ยนใจแน่ ฉันพูดว่า ‘โอ้ท่านอบูมุหัมมัด ทำไมท่านไม่ส่งคนมาหาฉัน แล้วให้ฉันไปหาท่าน’ ท่านตอบว่า ‘ไม่ เจ้าคู่ควรกว่าที่จะมาหา เจ้าคือชายโสด แล้วเจ้าก็แต่งงาน ฉันไม่ชอบหากเจ้าเดินทางกลางคืนคนเดียว นี่คือภรรยาของเจ้า’ ลูกสาวของท่านอยู่ข้างหลังร่างกายที่สูงของท่าน หลังจากนั้นท่านจับมือลูกสาวของท่านแล้วจูงมือเธอมายังประตูและท่านก็ปิดประตูไป หญิงสาวคนนั้นสะดุดล้มเนื่องจากความเขินอาย แล้วฉันก็ล็อคประตู
…หลังจากนั้นันก็ขึ้นไปยังชั้นบน แล้วฉันก็ร้องบอกกับผู้คน(เพื่อนบ้านของฉัน) พวกเขาจึงมายังฉันและถามว่า ‘มีอะไรเกิดขึ้นกับท่านหรือ?’ ฉันก็บอกพวกเขาไป และพวกเขาก็ได้มาหาเธอ(ลูกสาวของท่านสะอีด) เมื่อเรื่องนี้ไปถึงแม่ของฉัน ท่านก็ได้มาหาฉันและพูดว่า ‘ใบหน้าของแม่จะเป็นที่ต้องห้ามต่อใบหน้าของลูก หากลูกแตะต้องตัวเธอก่อนที่แม่จะแต่งตัวให้เธอในเวลา 3 วัน’
เธอก็ไปอยู่(กับแม่)นาน 3 วัน แล้วต่อมาฉันก็ได้พบกับเธอ ปรากฏว่าเธอคือผู้หญิงที่สวยที่สุดและท่องจำคัมภีร์ของอัลลอฮมากที่สุด และมีความรู้เกี่ยวกับสุนนะฮฺของท่านนบีมากที่สุด และเธอยังรู้สิทธิต่างๆของสามีของเธอเองด้วย ฉันเก็บตัวเงียบนาน 6 เดือน โดยไม่ได้ไปหาท่านสะอีด บิน อัลมุสัยยับเลย ต่อมาฉันก็ได้ไปหาท่านขณะที่ท่านอยู่ในหะละเกาะฮฺ แล้วฉันก็ให้สลามและท่านก็รับสลาม ท่านไม่ชวนฉันพูดคุยเลยจนกระทั่งเสร็จสิ้นมัจญ์ลิส เมื่อไม่เหลือใครแล้วนอกจากฉัน ท่านก็พูดขึ้นว่า ‘คนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?’ ฉันตอบว่า ‘ดีครับ ท่านอบูมุหัมมัด เหมาะสมตามที่มิตรสหายต้องการและไม่เป็นที่ชื่นชอบแก่ศัตรู’ ท่านกล่าวว่า ‘หากมีสิ่งใดทำให้เจ้าไม่สบายใจ ก็จงคลี่คลายด้วยไม้หวาย’ แล้วฉันก็กลับบ้าน และท่านให้เงิน 20,000 ดิรฮัมแก่ฉัน”[7]
อบูบักรฺ บิน อบีดาวูด กล่าวว่า “อิบนุ อบีวะดาอะฮฺ คือ กะษีร บิน อับดุลมุฏฏอลิบ บิน อบูวะดาอะฮฺ”
อัซซะฮะบีย์ กล่าวว่า “เขาคือ สะฮฺมีย์ , มักกีย์ รายงานจากอัลมุฏฏอลิบ บิดาของเขา คือหนึ่งในคนที่เข้ารับอิสลามในช่วงการพิชิตมักกะฮฺ ส่วนที่รายงานจากเขานั้นคือ ลูกชายของเขาชื่อ ญะอฺฟัร บินกะษีร และอิบนุ หัรมะละฮฺ”
_____________________________
[1] อัฏเฏาะบะก็อต อัลกุบรอ , มุหัมมัด บินสะอดฺ , 5/125
[2] อัฏเฏาะบะก็อต อัลกุบรอ , มุหัมมัด บินสะอดฺ , 5/129 และสิยัร อะอฺลาม อันนุบะลาอ์ , 4/226
[3] อัฏเฏาะบะก็อต อัลกุบรอ , มุหัมมัด บินสะอดฺ , 5/129 และสิยัร อะอฺลาม อันนุบะลาอ์ , 4/227
[4] อัฏเฏาะบะก็อต อัลกุบรอ , มุหัมมัด บินสะอดฺ , 5/129-130 และสิยัร อะอฺลาม อันนุบะลาอ์ , 4/227
[5] อัฏเฏาะบะก็อต อัลกุบรอ , มุหัมมัด บินสะอดฺ , 5/122
[6] ตารีค อัลอิสลาม , ชัมสุดดีน อัซซะฮะบีย์ , 6/374 และเรื่องนี้ยังมีระบุไว้ในอัลหิลยะฮฺ , อบูนุอัยมฺ , 2/164
[7] รายงานโดยอบูนุอัยมฺ ใน อัลหิลยะฮฺ , 2/167 , และอัซซะฮะบีย์ระบุไว้ใน สิยัรฯ , 4/223 อัซซะฮะบีย์ กล่าวว่า “เรื่องนี้ถูกรายงานโดยอะหฺมัด บินอับดุรเราะหฺมาน บินวะฮบฺ เพียงคนเดียว แม้ว่าเขาจะเป็นคนเฎาะอีฟ แต่มุสลิมก็ถือว่าเขาเป็นหลักฐานได้” ในเชิงอรรถของสิยัรฯ ระบุว่า อิบนุ อบีหาติมและคนอื่นๆมองว่าเขาเป็นคนที่ษิเกาะฮฺ เพียงแต่ความจำของเขาเปลี่ยนไป(สับสน)ในช่วงท้ายของชีวิต