ความเข้าใจที่ผิดพลาดเกี่ยวกับการฮัจรฺต่ออะฮฺลุลบิดอะฮฺ
(ตอนที่ 6.2 : (ต่อ)คำตักเตือนของชัยคฺอัลอัลบานีย์ เราะหิมะฮุลลอฮ)
เขียนโดย อุสตาซ อบูอับดุลมุหฺสิน ฟีรันดา อันดิรญา อาบิดีน
แปลและเรียบเรียงโดย Zunnur
คำนะศีหะฮฺที่ 1 : ห้ามยึดติดคลั่งไคล้ต่อชัยคฺสะละฟีย์คนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ
ความตะอัศศุบ(คลั่งไคล้)ต่อชัยคฺคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะนั้นคือสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความแตกแยก โดยทั่วไปแล้วความคลั่งไคล้นั้นเกิดจากลูกศิษย์ โดยเฉพาะเมื่อลูกศิษย์คนนั้นไม่เคยได้เรียนกับชัยคฺคนอื่นๆ จึงไม่สามารถเปรียบเทียบชัยคฺของตนกับชัยคฺคนอื่นๆได้ บางครั้งการที่ไม่เคยได้เรียนกับครูคนอื่นเลยนอกจากครูคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวนั้นอาจทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า อะไรก็ตามที่ครูของตนนำมานั้นถูกต้องเสมอ…เพราะเขาไม่เคยเห็นความผิดพลาดของครูตัวเองเลย สุดท้ายเขาก็เทิดทูนครูจนเหนือหัวตนเอง(คือเชื่อทุกอย่างที่ครูสอน) แต่ชาวสะลัฟนั้นหากเราได้ศึกษาและสังเกตประวัติของพวกเขา บางคนของพวกเขานั้นมีครูเป็นพันๆคนเลย…ทั้งนี้เพราะพวกเขาไม่มีการยึดติดคลั่งไคล้ต่อครูคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ
คำนะศีหะฮฺแรกของชัยคฺอัลอัลบานีย์นี้ เดิมทีแล้วเป็นคำตอบต่อคำขอของพี่น้องสะละฟีย์คนหนึ่งจากประเทศคูเวต ที่ขอให้ชัยคฺตักเตือนพี่น้องสะละฟีย์ที่ขัดแย้งแตกแยกและทำการตะหฺซีร(เตือนให้ออกห่าง)ซึ่งกันและกัน ผู้เขียนนำเสนอคำนะศีหะฮฺของชัยคฺอัลอัลบานีย์ เนื่องจากเนื้อหาของมันนั้นเหมาะสมกับสถานการณ์ของชาวสะละฟีย์ในบ้านเกิดเมืองนอนของผมซึ่งกำลังแตกแยกกัน (ท่านใดต้องการฟังคำถามดังกล่าวซึ่งยาวมาก เชิญฟังได้ในเทปสิลสิละฮฺ อัลฮุดา วันนูร หมายเลขที่ 779)
ชัยคฺอัลอัลบานีย์ กล่าวว่า :
ขอสาบานต่ออัลลอฮ พี่น้องครับ สำหรับผมแล้ว เราไม่ควรพูดถึงบุคคลต่างๆที่ถูกยกย่องและถูกตำหนิในขณะนี้ ผมมักได้รับคำถามต่างๆที่ถามอย่างตรงไปตรงมาจากประเทศคูเวต , สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และที่อื่นๆ ว่า “ชัยคฺครับ ท่านมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับคนนั้นคนนี้…??” และผู้ถามนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเอนเอียงไปทางคนๆนั้นหรือไม่ก็อยู่ขั้วตรงข้ามกับเขาเลย ดังนั้นผมจึงปรามเขามิให้ถามคำถามต่างๆเช่นนี้ ผมบอกกับเขาว่า “พี่น้อง…คำถามที่มีประโยชน์กับท่านคือ เกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่ช่วยให้อะกีดะฮฺของท่าน อิบาดะฮฺของท่านเที่ยงตรง รวมถึงเรื่องที่ช่วยปรับปรุงแก้ไขอัคลาคของท่านให้ดีขึ้น ท่านอย่าได้ถามเกี่ยวกับซัยดฺ , บักรฺ และอัมรฺ (คือเกี่ยวกับคนนั้นคนนี้)เลย!! เพราะคำถามต่างๆเช่นนี้มีแต่จะทำให้ไฟ(แห่งฟิตนะฮฺ)ลุกโชนยิ่งขึ้นเท่านั้น และอาจเป็นไปได้ว่าผู้ถามนั้นอยู่กับกลุ่มหนึ่งและต่อต้านอีกกลุ่มหนึ่ง หรือกลับกันเขาอยู่กับกลุ่มสองและต่อต้านกลุ่มหนึ่ง หากท่านยกย่องฝ่ายนี้ นั่นหมายความว่าท่านตำหนิฝ่ายนั้น และในทางกลับกันหากท่านยกย่องฝ่ายนั้น ท่านก็ตำหนิฝ่ายนี้ และสิ่งนี้มีแต่เพิ่มเชื้อเพลิงและทำให้ไฟลุกไม้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น เราขอตักเตือนด้วยคำพูดที่คลอบคลุมซึ่งทำให้ฉันนึกถึงคำพูดของท่านอบูบักรฺ อัศศิดดี้ก ขณะท่านเราะสูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เสียชีวิต ท่านอบูบักรฺ อัศศิดดี้กคือคนที่มวลมุสลิมมีมติเอกฉันท์(อิจมาอ์)ว่าจะต้องรักท่าน และใครก็ตามที่หันหลังให้กับการรักท่าน เขาก็เป็นกาฟิร แตกต่างจากบรรดาเศาะหาบะฮฺคนอื่นๆ เกี่ยวกับการรักและตำหนิพวกเขา คือลักษณะการตำหนิต่อพวกเขานั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นความชั่ว(ฟิสกฺ) ไม่ใช่การปฏิเสธ(กุฟรฺ) ผมอยากจะพูดว่า แม้ว่าท่านเราะสูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม จะเป็นผู้นำของมวลมนุษยชาติและเป็นที่รักของมุสลิมทั้งหมด แต่ท่านอบูบักรฺ อัศศิดดี้ก ก็รีบตัดหน้าพวกเขา(บรรดาเศาะหาบะฮฺ)ทันทีด้วยการพูดขณะที่ท่านอุมัรอยู่ในภาวะโกรธเคืองต่อคนที่บอกว่าท่านเราะสูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้เสียชีวิตแล้ว(พี่น้องรู้เรื่องนี้ดี) สิ่งที่เราสนใจคือ ขณะนั้นท่านอบูบักรฺพูดว่า “ใครก็ตามที่อิบาดะฮฺต่อมุหัมมัด แท้จริงมุหัมมัดได้ตายแล้ว และใครก็ตามที่อิบาดะฮฺต่ออัลลอฮ แท้จริงพระองค์ทรงชีวินและไม่มีวันตาย” ฉะนั้นสำหรับผมแล้ว ไม่อนุญาตให้ทุกกลุ่มทำการสนับสนุนคนๆหนึ่งเพื่อต่อต้านคนอีกคนหนึ่ง หรือในทางกลับกันด้วย แต่ผมขอกล่าวเช่นเดียวกับพระดำรัสของอัลลอฮว่า Read the rest of this entry »